The Official Launch of the Sunway Charter by Sunway University

Following his participation in the Planetary Health Annual Meeting Malaysia (PHAM) 2024, Venerable Napan Thawornbanjob has been invited to be a panelist in the up-coming official launch of the Sunway Charter. He will speak on the topic “Faith Communities as Catalysts for Planetary Health Action” in a webinar “Faith in Action: Launching the Sunway Charter”, on May 28th, 6.00 PM, Bangkok time.

The charter is an initiative by Sunway University, to harness the power of spiritual leadership in addressing global environmental challenges. Anchored in the principles of stewardship, justice, interconnectedness, and inclusivity, it serves as a call to action for faith communities to actively participate in promoting planetary health, sustainability, and resilience. 

This event will provide a platform for meaningful dialogue and partnership-building among leaders across faith communities and the environmental sector.

Register here or scan the QR code

https://forms.office.com/pages/responsepage.aspx?id=6wgQBUDbSUKezp3z6MP1lDczXheU6BtFuoUywur-NYVUM0EwRktXODI0SEM2SlFHVVRTSzBSQTk5Vy4u&route=shorturl

The 3rd International Conference on Cohesive Societies (ICCS) in Singapore

At the up-coming 3rd International Conference on Cohesive Societies (ICCS), Venerable Napan Thawornbanjob has been invited to be a panelist in the session titled “Forging Societal Resilience”.The event is organised by the Social Cohesion Research Programme at the S. Rajaratnam School of International Studies (RSIS), Nanyang Technological University in Singapore, with the support of Singapore’s Ministry of Culture, Community and Youth, in Singapore from 24 to 26 June 2025.

It serves as a global platform for distinguished thought leaders, key policymakers and experienced practitioners to engage in dialogue and share insights on building harmony in multicultural societies.

Building upon the past two editions of the Conference held in 2019 and 2022, ICCS 2025 will gather more than 800 delegates from around the world to converse and develop insights and solutions for the fostering of social cohesion. Themed “Cohesive Societies,Resilient Futures”, ICCS 2025 will feature three new thematic pillars: Unpacking Multiculturalism, Navigating Uncertainty, and Forging Societal Resilience.

เรื่องเล่าของอาจารย์ Richard

มันสวยงาม ที่เห็นใครซักคนโดดลงไปในน้ำที่เหน็บหนาว และกลับขึ้นมาพร้อมกับชีวิตใหม่อีกครั้ง

ประโยคนี้ มาจากอาจารย์​ Richard ในระหว่างการสนทนาธรรมะและเรื่องอื่นๆในยามเย็นกับพระอาจารย์นภันต์ ที่วัดพุทธาราม Leeds โดยอาจารย์ได้แชร์ถึงกิจกรรมที่เคยได้รับความนิยมจากวัยรุ่นในขณะหนึ่ง ซึ่งรวมไปถึงลูกสาวของอาจารย์​ Richard เองด้วย คือการกระโดดลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบในช่วงฤดูหนาว และกลับขึ้นมา ซึ่งอาจารย์บอกว่า ทราบมาว่ากิจกรรมนี้ ช่วยการบำบัดอาการซึมเศร้าของบางคนได้ด้วย ราวกับว่าเมื่อลงไปเจอกับความหนาวจัดในน้ำ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้เรากลับชึ้นมาราวกับเป็นคนใหม่ที่พร้อมจะมีชีวิตอีกครั้ง 

อาจารย์ สะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า

“It’s beautiful to see someone jumps into cold water, then comes back with life”

ซึ่งประโยคนี้ ยังคงสร้างความประทับใจให้กับแอดมินจนถึงทุกวันนี้ เพราะเสมือนเป็นการอุปมาอุปมัยถึงการใช้ชีวิตและเรื่องอื่นๆได้เป็นอย่างดี

ดั่งเช่นเวลาที่เราต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต ซึ่งบางครั้งอาจดูเหมือนว่าหนักหนาเกินกว่าที่เราจะผ่านมันไปได้ แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อเราผ่านมันไป เราก็จะเติบโต ทั้งทางความคิด สติปัญญา และจิตวิญญาณ ราวกับมีชีวิตใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้งหลังจากที่ต้องเผชิญความหนาวเหน็บ และความรู้สึกอึดอัดจากการที่กำลังจะจมน้ำ 

ดั่งเช่นเวลาที่เราต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต ซึ่งบางครั้งอาจดูเหมือนว่าหนักหนาเกินกว่าที่เราจะผ่านมันไปได้ แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อเราผ่านมันไป เราก็จะเติบโต ทั้งทางความคิด สติปัญญา และจิตวิญญาณ ราวกับมีชีวิตใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้งหลังจากที่ต้องเผชิญความหนาวเหน็บ และความรู้สึกอึดอัดจากการที่กำลังจะจมน้ำ 

ดังนั้น หากตอนนี้ท่านใดกำลังอยู่ในน้ำเย็นจัด ไม่ว่าจะเพราะตั้งใจที่จะโดดลงไปเอง พลัดตกลงไป หรือโดนผลักให้ตกลงไป ขอให้อย่าย่อท้อที่จะมีชีวิตรอดกลับขึ้นไปเจอชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น และเติบโตขึ้น และเป็นข้อพิสูจน์ให้คนอื่นๆที่อาจจะกำลังเผชิญความยากลำบากคล้ายๆกัน ว่า เราจะผ่านมันไปได้

ปล. กิจกรรมนี้ มีความอันตรายในตัว และมีเคสคนเสียชีวิต ตามที่อาจารย์​ Richard ได้แชร์ไปแล้ว ไม่ควรทำตาม

5 ศูนย์ของ IBHAP กับบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม

ทุกท่าน เคยเลือกที่จะไม่ทำบางอย่าง เพราะคิดว่าเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันไหม

และเคยตั้งคำถามไหมว่า แท้จริงแล้ว เราไม่มีบทบาทในเรื่องนั้นจริงๆ หรือเพียงเพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องนั้นดีพอ จึงมองไม่เห็นความเกี่ยวข้องในบริบทของเรา?

เช่นเดียวกัน ถ้ามองอย่างผิวเผิน ก็คงไม่แปลกที่อาจจะดูเหมือนว่ามีเพียงศูนย์เดียว จากทั้งหมด 5 ศูนย์ของ IBHAP Foundation ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม คือ ศูนย์สุขภาพจิตและสุขภาวะโลก (Mental and Planetary Health Centre) ซึ่งตั้งมาเพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยตรง โดยมุ่งเน้นไปที่บริบทของ Planetary Health ซึ่งหมายรวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีของโลกและคนบนโลก ทั้งสุขภาวะกายและสุขภาวะจิต 

แต่ถ้าพิจารณาเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ลึกลงไปแล้ว จะพบว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวพันในมิติอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งต้องการการจัดการที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน 

ดังนั้น ศูนย์อื่นๆอีก 4 ศูนย์ ที่แม้ว่าชื่อศูนย์อาจไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม แต่แต่ละศูนย์ล้วนเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความตระหนักและผลักดันด้านสิ่งแวดล้อม ในบริบทต่างๆกัน ดังนี้

1. ศูนย์ความร่วมมือเยาวชนส่งเสริม (Youth-Empowered Partnership Centre)

เนื่องจากเยาวชน เป็นกลุ่มประชากรที่มีแนวโน้มจะต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในอนาคต ที่มีแนวโน้มแย่ลงเรื่อยๆ การผลักดัน เสริมศักยภาพ และให้พื้นที่ในการมีส่วนร่วมของเยาวชน  เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดการรับประกันว่า การขับเคลื่อนงานเพื่อจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจะคงอยู่และดำเนินต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคม รวมถึงการเคารพสิทธิ์ในการมีบทบาทในฐานะสมาชิกของสังคมอีกด้วย ในส่วนนี้ YEP Centre สามารถเป็นกำลังสำคัญในการให้พื้นที่การมีส่วนร่วมของเยาวชน รวมทั้งพัฒนาศักยภาพให้เยาวชนที่อาจจะยังไม่มีความรู้และประสบการณ์เพียงพอที่จะมีส่วนร่วมได้นั้น มีศักยภาพเพียงพอ และสร้างความตระหนักให้กับเยาวชนถึงสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมของตนเอง

2. ศูนย์สิทธิมนุษยชนและความครอบคลุมทางสังคม (Human Rights and Social Inclusion Centre)

ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวเนื่องไปถึงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ที่นอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรงแล้ว เช่น สิทธิ์ในการมีชีวิต (Right to Life) ยังทำให้คุณค่าของสิทธิมนุษยชนถูกลดทอน อีกทั้งยังทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่เดิมในสังคมทวีความรุนแรงขึ้น

เช่น หากเรามีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น และภาวะโลกร้อนนี้ ไปเอื้อให้เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อซึ่งทำอันตรายให้กับคนบางกลุ่มได้มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆไม่ว่าจะด้วยความต่างด้านร่างกายหรือสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม นั่นหมายความว่า เรามีส่วนในการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างน้อย 2 สิทธิ์ ได้แก่ สิทธิ์ในการมีชีวิต (Right to Life) และสิทธิ์ในการไม่ถูกแบ่งแยก (Right to Non-discrimination)

หากแต่ประเด็นเหล่านี้ในบริบทของสิ่งแวดล้อม มักถูกมองข้ามไป ทำให้คนยังขาดความตระหนัก ในมุมเหล่านี้ ศูนย์สิทธิมนุษยชนและความครอบคลุมทางสังคม จึงสามารถเป็นกำลังสำคัญในการ address ประเด็นเหล่านี้ให้เป็นที่รับรู้มากขึ้น รวมถึงสร้างความตระหนักและ sense of ownership ของปัญหา ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมสามารถนำไปสู่ปัญหาทางสังคม และทำให้ความไม่เท่าเทียมในสังคมที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นการลดทอนคุณค่าของสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังสร้างความยากลำบากในการพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ในแง่ของความครอบคลุมทางสังคม ศูนย์นี้ยังสามารถสร้างพื้นที่ในการมีส่วนร่วมและเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มคนชายขอบอีกด้วย

3. ศูนย์สานเสวนาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน (Dialogue Centre for Peace and Sustainable Development) 

จากการที่พระอาจารย์นภันต์ได้รับนิมนต์ให้ไปแชร์หลักการและประสบการณ์การขับเคลื่อนงานเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการบูรณาการคุณค่าของพระพุทธศาสนาในงานระดับนานาชาติหลายๆงาน โดยเฉพาะในบริบทของสิ่งแวดล้อม เช่น งาน COP16, COP29, Interfaith G20 & PaRD Annual Meeting และ G20 & PaRD Annual Forum และ Planetary Health Annual Meeting Malaysia (PHAM) 2024 เป็นเครื่องยืนยันว่าหลักการของ Buddhism for SDGs ได้รับความสนใจและการยอมรับในระดับนานาชาติ และจากการที่ การสานเสวนานั้น นับเป็นใบเบิกทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน ศูนย์สานเสวนาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนจึงสามารถเป็นกำลังสำคัญในส่งเสริมให้หลักการของ Buddhism for SDGs ได้เป็นที่รับรู้และเข้าใจในวงกว้างมากขึ้นไปอีก และถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่อผลลัพธ์เชิงบวก ในบริบทของศาสนาอื่นๆ ตั้งแต่ในระดับบุคคล ไปจนถึงระดับนานาชาติ เพื่อประโยชน์ของสังคมโลก ผ่านการสอดแทรกในการสานเสวนาระหว่างศาสนา (Interreligious Dialogue) และการสานเสวนาในบริบทอื่นๆ 

4. ศูนย์บ่มพระผู้ประกอบกรรมเพื่อสังคม (Socially Engaged Monks Incubators)

จากหลักการของ Buddhism for SDGs จะเห็นได้ว่า พระสงฆ์ โดยเฉพาะในสังคมพุทธ มีบทบาทมากมายนอกเหนือจากบทบาทในการเป็นผู้นำศาสนา ซึ่งบทบาทที่หลากหลายและความใกล้ชิดกับชุมชนของพระสงฆ์ นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการค่อยๆแปรเปลี่ยนองค์ความรู้และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระดับนานาชาติ หรือระดับชาติ เป็นการปฏิบัติจริงในระดับบุคคลและระดับชุมชน ศูนย์บ่มพระผู้ประกอบกรรมเพื่อสังคม สามารถเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงบทบาทในการเป็นสื่อกลางบูรณาการความเป็นต้นทุนทางสังคมของพระพุทธศาสนานี้ให้กับพระสงฆ์ และยังสามารถเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและสร้างการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

นอกจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ทั้ง 5 ศูนย์ ยังมีความเกี่ยวข้องและสามารถส่งเสริมขับเคลื่อนงานด้านต่างๆได้ในบริบทของตน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสันติภาพ งานด้านการศึกษา และงานด้านอื่นๆอีกมากมายที่ IBHAP Foundation กำลังขับเคลื่อน 

ท่านเองก็เช่นกัน ^__^

จากสามเณรภาคฤดูร้อน… สู่การอุปสมบทพรรษาที่ 25 ของพระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท

ไม่สำคัญว่าใครต้องรู้ต้องเห็น

สำคัญที่ เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร

พระอาจารย์กล่าวอยู่เสมอว่าที่เลือกทำงานด้านสังคมและการพัฒนา เป็นเพราะต้องการตอบแทนสังคม

และการที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ส่งไปอยู่ต่างจังหวัดตั้งแต่เป็นสามเณรนั้น ช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงและความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมของพระพุทธศาสนา จึงเป็นที่มาของการเก็บเกี่ยวหล่อหลอม ที่นำมาสู่การริเริ่มและขับเคลื่อนงาน พระพุทธศาสนาเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างเช่นทุกวันนี้

พระอาจารย์บวชเณรครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 7 ขวบ โดยความสมัครใจในการบวชเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา พระอาจารย์ก็ขอโยมแม่บวชทุกปี ติดต่อกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ 11 ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร โดยการฝากฝังของโยมพ่อ จนกระทั่งบวชพระในปี  2543 โดยหลวงพ่อเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เป็นผู้มอบฉายาสนฺติภทฺโทหรือภิกษุผู้สันติให้

พระอาจารย์บอกอยู่เสมอว่า เมื่อมองย้อนกลับไป เมื่อครั้งที่หลวงพ่อสมเด็จส่งไปเรียนที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ก็เข้าใจในเจตนาของหลวงพ่อมากขึ้น และรู้สึกขอบคุณมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะการได้ไปอยู่ในสังคมต่างจังหวัด ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิต การพึ่งพากันของวัดและชุมชน และการเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาในวิถีชีวิตของคนในหลายๆมิติ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนเลยก็ว่าได้…. และกลายมาเป็นส่วนสำคัญของความคิดริเริ่มในการนำความเป็นต้นทุนทางสังคมนี้ มาบูรณาการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม ในงาน พระพุทธศาสนาเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่พระอาจารย์กำลังขับเคลื่อนผ่าน IBHAP Foundation 

นอกจากนี้ สิ่งที่พระอาจารย์ได้เห็นและซาบซึ้งมาตลอด คือการได้รับการดูแลเกื้อกูลจากสังคม  เพราะพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยให้พระต้องพึ่งพาญาติโยมในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นนัยยะให้พระประพฤติปฏิบัติดีงามไปในตัว เพื่อให้สมกับการได้รับการดูแลจากญาติโยมและความรู้สึกนี้เอง ทำให้พระอาจารย์เกิดความรู้สึกอยากตอบแทนสังคม โดยการใช้ความรู้ความสามารถที่ตนเองมี ในการสร้างประโยชน์เป็นการตอบแทนในลักษณะ สังคมดูแลพระ ในขณะเดียวกัน พระก็ดูแลสังคม โดยการให้ธรรมะ เป็นที่พึ่งทางใจ และเป็นผู้นำการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกมาสู่สังคม

หลายคนเคยบอกว่า พระอาจารย์เลือกเดินทางยาก 

หลายคนเกิดคำถามในสิ่งที่พระอาจารย์กำลังทำ

บางครั้งสิ่งที่พระอาจารย์ทำ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครเชิดชู

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้พระอาจารย์เปลี่ยนใจ แต่ยังคงมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ โดยรู้ว่า ตนเองกำลังทำอะไร เพื่ออะไรโดยที่ไม่ลืมว่าความตั้งใจแรกเริ่มเดิมทีนั้นคืออะไร

COP16 Key Takeaways from Venerable Napan

Venerable Napan Thawornbanjob, as Chair of IBHAP Foundation and Honorable Advisor of 30 x 30 Thailand Coalition participated as a panelist in COP16’s side event “Integral Ecology to Reverse Biodiversity Loss”, by the support of EcoCitiZen, in Cali, Colombia.

Venerable Napan stated that it was the opportunity to learn from and exchange ideas with people from all over the world who share a mutual dedication and good intentions to make this world a better place to live, not only for our generation, but also the future ones. 

Additionally, it was an honor, as a Buddhist monk, to have the opportunity to convey the issues of natural resource consumption and biodiversity by integrating Buddhist teachings and the concept of mindfulness, and share with the researchers, scholars, and environmental practitioners from various countries, called “Integral Ecology Research Network (IERN)”, which was officially launched at the event.

The key points he shared were:

1. While we are consuming natural resources for our survival, we must remain mindful and not forget that we must pass on this right to future generations for their survival as well.

2. In Buddhism, the concept of “karma” means that what we think, say, or do will affect us. The same goes for how we treat the world. As the Buddhist proverb says, “Kammuna vattati loko,” meaning “the world is driven by karma”. Through the lens of “Planetary Health,” the term “world” here can include both the planet itself and the living beings on it.

3. Three key points regarding addressing biodiversity loss, including

 – Communication

 – Strategic collaboration

 – Meaningful engagement

We need to be patient in repeating these messages until awareness is raised, followed by serious action that leads to change. We must also collaborate to amplify the voices of those who are voiceless. Furthermore, we must use strategic communication to keep these issues in the public consciousness, so they are not forgotten, and the problems are not left unresolved as they often are.

He emphasised at the end of his talk that

“No more engagement, Let’s get married. As a Buddhist monk , I cannot get married but you know what I mean… Let’s connect to each other not just contact. The time for “loose engagement” through meetings and discussions is over. We need to collaborate seriously and act to achieve tangible results.”

Thanks to EcoCitizen for supporting his participation in the event, including the travel and accommodation arrangements, CELAM (Latin American and Caribbean Episcopal Council) for their warm hospitality and providing the Monsignor Jesús Antonio Castro Becerra Meeting and Training House for his stay in Cali, Colombia.

Special thanks to Salvatore Coppola-Finegan and everyone at EcoCitizen for everything and Ms. Siriporn SRIARAM for coordinating the invitation to participate in this event, as well as Father Peter Rožič and Jafeth Rodriguez for the friendships. 

And thank you to EcoCitizen, Ms. Siriporn, Father Peter and Jafeth for the photos.

สิ่งที่ได้จาก 6 ชั่วโมงกับคุณ Irene Santiago… นักสันติวิธีคนสำคัญ

Key takeaway ที่ได้จากวันสุดท้ายของงาน 2024 KAICIID Dialogue Cities Southeast Asia Conference ที่เมือง Davao ประเทศฟิลิปปินส์ คือ 

1. Interreligious Dialogue เป็นเรื่องของ mindset 

2. Relationship คือส่วนสำคัญในการสร้างสันติ

สองประเด็นนี้ ถูกแชร์ตรงกันโดยผู้ที่อุทิศตนทำงานด้านสันติภาพมาอย่างยาวนาน ดังเช่นคำที่ว่า “Great minds think alike”

โดยประเด็นแรก  พระอาจารย์นภันต์ได้แชร์ไว้ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ในส่วนของ Press Conference ของงานนี้ว่า 

“Interrelious Dialogue ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของเครื่องมือ แต่เป็นเรื่องของ mindset ที่พร้อมจะเรียนรู้จากทุกคน รวมทั้งตัวเราเอง” 

ซึ่งในพิธีปิดงานวันนี้ ศ. ดร. ฉันทนา หวันแก้ว ได้ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า “Interreligious Dialogue ไม่ใช่ skill แต่เป็น mindset ที่พร้อมเข้าใจ เห็นใจผู้อื่น

นอกจากนี้ นับเป็นเกียรติของคณะผู้ร่วมงานจากประเทศไทย ที่หลังพิธีเปิดงาน ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมบ้านและฟาร์มของคุณ Irene Santiago บุคคลสำคัญด้านสันติของฟิลิปปินส์และของโลก รวมทั้งได้พูดคุย และฟังประสบการณ์อันยาวนานของคุณ Irene

ประเด็นสำคัญจากคุณ Irene ที่นับว่าเป็น “Great minds think alike” นั้น คือ

สิ่งที่เป็นปัญหาในการสร้างสันติภาพ คือ เรื่องของ  Relationship

เช่นเดียวกัน หากใครเคยได้ฟังการบรรยายของพระอาจารย์อยู่เสมอ จะเห็นว่าสิ่งที่คุณ Irene บอกนั้น สอดคล้องกับแนวคิดของพระอาจารย์ที่ถ่ายถอดผ่านเรื่องของ “3 ships” ว่า ในขณะที่ผู้คนกำลังจะจมน้ำตายท่ามกลางทะเลของความเกลียดชัง เรามี เรือ (ship) 3 ลำที่ช่วยชีวิตผู้คนได้ คือ

1. Relationship

2. Leadership 

3. Friendship

เป็นเรื่องน่าคิด ที่ประเด็นเหล่านี้ ถูกเห็นตรงกันโดยนักสันติวิธีที่มีประสบการณ์การทำงานมาอย่างยาวนาน จึงเป็นหน้าที่ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง รวมถึงเราทุกคนที่จะลองพิจารณาและทบทวน เพื่อมองหาแนวทางการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน

บทบาทด้านสิ่งแวดล้อม(ที่มากกว่าที่คิด)ของ IBHAP Foundation

ว่าด้วยการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมของ IBHAP Foundation…

บางท่านอาจมีภาพจำว่า ขับเคลื่อนตาม SDGs อย่างเดียวเท่านั้น หรือมุ่งเน้นที่การแยกขยะ และลดการใช้พลาสติกเท่านั้น… 

แต่แท้จริงแล้ว  IBHAP Foundation ขับเคลื่อนงานทั้งเชิงปฏิบัติและเชิงนโยบาย อีกทั้งยังมีส่วนสนับสนุน Global goals อื่นๆอีกมากมายนอกเหนือจาก SDGs เป้าที่ 12, 13, 14, 15 อีกด้วย เช่น นโยบาย Nature-based Solution (NbS) ซึ่งเป็นการส่งเสริม Nationally-Determined Contributions (NDCs)  ซึ่งเชื่อมกับ Paris Agreement อีกด้วย

บทบาทหลัก ของ IBHAP Foundation คือ

 1. เราพยายามนำองค์ความรู้และนโยบายในระดับนานาชาติ หรือในระดับชาติ มาบูรณาการให้เกิดการปฏิบัติจริงในระดับชุมชน และสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในระดับบุคคล

ซึ่งหลายท่านคงทราบดี ว่าภายใต้งาน พระพุทธศาสนาเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Buddhism for SDGs ซึ่งริเริ่มโดยพระอาจารย์นภันต์ เราได้บูรณาการคุณค่าและความเป็นต้นทุนทางสังคมของพระพุทธศาสนาในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก โดยการนำ Sustainable Development Goals ซึ่งเป็นนโยบายและองค์ความรู้ในระดับนานาชาติและระดับชาติ มาสู่การปฏิบัติจริงในระดับบุคคลและระดับชุมชน  โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ในฐานะที่เป็นที่พึ่งทางใจและเป็นแบบอย่าง อีกทั้งยังใกล้ชิดกับชุมชน เรียกว่า เราใช้ความเป็น Faith-based Organisation (FBO) ของเรา ในการขับเคลื่อนงาน

นอกจากนี้ เรายังนำแนวคิดและแนวปฏิบัติจากระดับท้องถิ่น ไปแชร์ในระดับนานาชาติ เป็นการกระจายองค์ความรู้และแนวปฏิบัติสองทาง ในฐานะ Bridge Organisation เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

บทบาทด้านนี้ เราเห็นได้จากการที่ เรามี ย่ามและผ้ารับประเคนลดโลกร้อนที่ผลิตจากเศษผ้าเหลือในอุตสาหกรรม ซึ่งเราทำร่วมกับ moreloop รวมทั้ง MOU “Wat Saket Zero Waste” การรณรงค์ลดการใช้ single-use plastic หรือการให้ความรู้และการลงมือปฏิบัติเรื่องการแยกขยะ

หรือการลงนาม MOU และการร่วมจัดกิจกรรมในโครงการ “ทำบุญวิถีใหม่ เวียนเทียนด้วยต้นไม้ลดฝุ่น” โดยมูลนิธิ ปลูกต้นไม้ ปลูกธรรมะ ก็นับเป็นภาพชัดของการทำตามนโยบายระดับนานาชาติ NbS ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ธรรมชาติในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

โดยในปัจจุบันมีการกระตุ้นให้นานาประเทศผนวกหลักการของ NbS เข้าสู่นโยบายการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมระดับชาติ ซึ่งหากประเทศเหล่านั้นลงนามในความตกลงปารีส (Paris Agreement) ด้วยแล้ว ก็จะต้องดำเนินการแบบเป็นรูปธรรมชัดเจน มีการติดตามวัดผล และรายงานทุกๆ 5 ปี ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า NDCs  ซึ่งประเทศไทยก็เข้าข่ายที่ว่านี้เช่นเดียวกัน

ทั้ง NbS และ NDCs เป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงบ่อยมากในงาน COP29 ในปีที่ผ่านมาฮับ ถ้าลองดูจากงานวิจัย ก็จะเห็นสถิติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วช่วง 5 ปีหลัง ของประเทศที่เริ่มมีการนำ NbS มาใช้ รวมถึงผนวก NbS เข้ากับ NDCs 

อีกทั้งหลักการเหล่านี้ยังสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่พูดถึงกันในงาน COP29 อีกเช่นกัน คือ นอกจากนโยบายแบบเดิมที่เราเน้นไปที่การป้องกัน และเยียวยาผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว เราควรมุ่งเน้นการ “ปรับตัว” เข้ากับผลลัพธ์ทางสิ่งแวดล้อมที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วด้วย

2. นอกจากการปฏิบัติในระดับบุคคลและระดับชุมชน เรายังขับเคลื่อนงานด้านนโยบาย โดยสนับสนุนและเป็นกระบอกเสียงให้มีการนำองค์ความรู้และนโยบายระดับนานาชาติ เข้าสู่นโยบายระดับชาติ

เราใช้จุดแข็งของการมี partnership เป็นองค์กรต่างประเทศที่ขับเคลื่อนงานด้านนี้ ในการร่วมผลักดันให้องค์ความรู้และนโยบายระดับนานาชาติที่เป็นประโยชน์ ถูกนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังโดยเริ่มจากการสนับสนุนให้สิ่งเหล่านั้นอยู่ในนโยบายระดับชาติ ที่จะผลักดันไปสู่การปฏิบัติในระดับชุมชน

เห็นได้ชัดจากงานล่าสุดที่ทางมูลนิธิได้พาคุณ Mitra, Senior Programme Manager ของ KAICIID Dialogue Centre ไปทำความรู้จักและสนทนากับผู้ทรงคุณวุฒิของไทยทั้งในด้านการศึกษา และผู้ที่เป็น policymaker รวมทั้งการเสนอชื่อบุคลากรด้านต่างๆในการเข้าร่วมงาน Dialoge Cities Southeast Asia Conference ที่เมือง Davao ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปีที่แล้ว และการพา policymaker จากไทย ไปร่วมงาน PaRD Leader Meeting ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเดือนกุมพาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อขยายขอบเขตงาน หรือการที่พระอาจารย์รับเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ 30×30 Thailand Coalition เครือข่ายอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพประเทศไทย และการเข้าร่วมงานระดับนานาชาติอีกมากมาย เช่น งาน COP16, COP29 หรืองาน Interfaith G20 & PaRD Annual Forum ที่จัดภายใต้ theme “Leaving No One Behind: The Well-being of the Planet and Its People” และงาน Planetary Health Annual Meeting Malaysia (PHAM) 2024

3. เราสนับสนุนการมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่ม และพร้อมพัฒนาศักยภาพกลุ่มคนเหล่านั้น

หนึ่งในนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจากงาน COP29 คือการสร้างการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย (meaningful participation) ของกลุ่มคนชายขอบ ซึ่งหมายรวมถึง กลุ่มชาติพันธุ์ (ซึ่งจริงจังมากจนถึงขนาดมีการออก Baku Workplan ในการผลักดันเรื่องนี้) ผู้นำศาสนา ผู้หญิง เยาวชน และชุมชนท้องถิ่น ซึ่งถ้าหากคนเหล่านี้ไม่สามารถมีส่วนร่วมด้วยเนื่องจากขาดประสบการณ์หรือความรู้ ก็ต้องจัดการให้มีการเสริมสร้างศักยภาพและองค์ความรู้ที่เพียงพอที่จะเข้ามามีบทบาทได้

ในส่วนนี้ สอดคล้องกับสิ่งที่ IBHAP Foundation พยายามทำมาตลอดทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการเสริมศักยภาพและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ ผู้หญิง เยาวชน และคนในชุมชน เช่น โครงการอบรมเขิงปฏิบัติการนำร่อง “บทบาทพระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำและนำแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ” เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับพระสงฆ์และคนในชุมชน

ซึ่งเป็นการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ และส่งเสริมการมีบทบาทในฐานะสมาชิกของสังคม อีกทั้งยังเป็นการคงคุณค่าของสิทธิมนุษยชนอีกด้วย

มาถึงตรงนี้ ทุกท่านคงเห็นภาพชัดมากขึ้น เกี่ยวกับบทบาทและสิ่งที่ IBHAP Foundation กำลังขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม

สิ่งสำคัญคือ การจะทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับบุคคล ไปจนถึงระดับนโยบาย รวมทั้งความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการมีส่วนร่วมจากทุกกลุ่ม