Similar Posts
COP16 Key Takeaways from Venerable Napan
Venerable Napan Thawornbanjob, as Chair of IBHAP Foundation and Honorable Advisor of 30 x 30 Thailand Coalition participated as a panelist in COP16’s side event “Integral Ecology to Reverse Biodiversity Loss”, by the support of EcoCitiZen, in Cali, Colombia.
Venerable Napan stated that it was the opportunity to learn from and exchange ideas with people from all over the world who share a mutual dedication and good intentions to make this world a better place to live, not only for our generation, but also the future ones.
Additionally, it was an honor, as a Buddhist monk, to have the opportunity to convey the issues of natural resource consumption and biodiversity by integrating Buddhist teachings and the concept of mindfulness, and share with the researchers, scholars, and environmental practitioners from various countries, called “Integral Ecology Research Network (IERN)”, which was officially launched at the event.
The key points he shared were:
1. While we are consuming natural resources for our survival, we must remain mindful and not forget that we must pass on this right to future generations for their survival as well.
2. In Buddhism, the concept of “karma” means that what we think, say, or do will affect us. The same goes for how we treat the world. As the Buddhist proverb says, “Kammuna vattati loko,” meaning “the world is driven by karma”. Through the lens of “Planetary Health,” the term “world” here can include both the planet itself and the living beings on it.
3. Three key points regarding addressing biodiversity loss, including
– Communication
– Strategic collaboration
– Meaningful engagement
We need to be patient in repeating these messages until awareness is raised, followed by serious action that leads to change. We must also collaborate to amplify the voices of those who are voiceless. Furthermore, we must use strategic communication to keep these issues in the public consciousness, so they are not forgotten, and the problems are not left unresolved as they often are.
He emphasised at the end of his talk that
“No more engagement, Let’s get married. As a Buddhist monk , I cannot get married but you know what I mean… Let’s connect to each other not just contact. The time for “loose engagement” through meetings and discussions is over. We need to collaborate seriously and act to achieve tangible results.”
Thanks to EcoCitizen for supporting his participation in the event, including the travel and accommodation arrangements, CELAM (Latin American and Caribbean Episcopal Council) for their warm hospitality and providing the Monsignor Jesús Antonio Castro Becerra Meeting and Training House for his stay in Cali, Colombia.
Special thanks to Salvatore Coppola-Finegan and everyone at EcoCitizen for everything and Ms. Siriporn SRIARAM for coordinating the invitation to participate in this event, as well as Father Peter Rožič and Jafeth Rodriguez for the friendships.
And thank you to EcoCitizen, Ms. Siriporn, Father Peter and Jafeth for the photos.
The Bilateral Talks and Evening Reception in honour of the up-coming Leadership Meeting 2025 of Partnership on Religion and Sustainable Development (PaRD)
Venerable Napan Thawornbanjob, on behalf of IBHAP Foundation, invited Prof. Dr. Kanok Wongtrangan, Former Member of Parliament and Former Advisor to the Prime Minister, and Ms. Sakuna Saranun, Member of Parliament, the two policymakers from Thailand, to join the Bilateral Talks and Evening Reception in honour of the upcoming Leadership Meeting 2025 of Partnership on Religion and Sustainable Development (PaRD). The event was hosted by PaRD and organised by Ministry of Religious Affairs (MoRA) of Indonesia, in Jakarta, Indonesia.
สาระจาก COP16 โดยพระอาจารย์นภันต์
5 ศูนย์ของ IBHAP กับบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม
ทุกท่าน เคยเลือกที่จะไม่ทำบางอย่าง เพราะคิดว่าเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันไหม
และเคยตั้งคำถามไหมว่า แท้จริงแล้ว เราไม่มีบทบาทในเรื่องนั้นจริงๆ หรือเพียงเพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องนั้นดีพอ จึงมองไม่เห็นความเกี่ยวข้องในบริบทของเรา?
เช่นเดียวกัน ถ้ามองอย่างผิวเผิน ก็คงไม่แปลกที่อาจจะดูเหมือนว่ามีเพียงศูนย์เดียว จากทั้งหมด 5 ศูนย์ของ IBHAP Foundation ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม คือ ศูนย์สุขภาพจิตและสุขภาวะโลก (Mental and Planetary Health Centre) ซึ่งตั้งมาเพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยตรง โดยมุ่งเน้นไปที่บริบทของ Planetary Health ซึ่งหมายรวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีของโลกและคนบนโลก ทั้งสุขภาวะกายและสุขภาวะจิต
แต่ถ้าพิจารณาเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ลึกลงไปแล้ว จะพบว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวพันในมิติอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งต้องการการจัดการที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน
ดังนั้น ศูนย์อื่นๆอีก 4 ศูนย์ ที่แม้ว่าชื่อศูนย์อาจไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม แต่แต่ละศูนย์ล้วนเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความตระหนักและผลักดันด้านสิ่งแวดล้อม ในบริบทต่างๆกัน ดังนี้…
1. ศูนย์ความร่วมมือเยาวชนส่งเสริม (Youth-Empowered Partnership Centre)
เนื่องจากเยาวชน เป็นกลุ่มประชากรที่มีแนวโน้มจะต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในอนาคต ที่มีแนวโน้มแย่ลงเรื่อยๆ การผลักดัน เสริมศักยภาพ และให้พื้นที่ในการมีส่วนร่วมของเยาวชน เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดการรับประกันว่า การขับเคลื่อนงานเพื่อจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจะคงอยู่และดำเนินต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคม รวมถึงการเคารพสิทธิ์ในการมีบทบาทในฐานะสมาชิกของสังคมอีกด้วย ในส่วนนี้ YEP Centre สามารถเป็นกำลังสำคัญในการให้พื้นที่การมีส่วนร่วมของเยาวชน รวมทั้งพัฒนาศักยภาพให้เยาวชนที่อาจจะยังไม่มีความรู้และประสบการณ์เพียงพอที่จะมีส่วนร่วมได้นั้น มีศักยภาพเพียงพอ และสร้างความตระหนักให้กับเยาวชนถึงสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมของตนเอง
2. ศูนย์สิทธิมนุษยชนและความครอบคลุมทางสังคม (Human Rights and Social Inclusion Centre)
ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวเนื่องไปถึงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ที่นอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรงแล้ว เช่น สิทธิ์ในการมีชีวิต (Right to Life) ยังทำให้คุณค่าของสิทธิมนุษยชนถูกลดทอน อีกทั้งยังทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่เดิมในสังคมทวีความรุนแรงขึ้น
เช่น หากเรามีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น และภาวะโลกร้อนนี้ ไปเอื้อให้เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อซึ่งทำอันตรายให้กับคนบางกลุ่มได้มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆไม่ว่าจะด้วยความต่างด้านร่างกายหรือสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม นั่นหมายความว่า เรามีส่วนในการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างน้อย 2 สิทธิ์ ได้แก่ สิทธิ์ในการมีชีวิต (Right to Life) และสิทธิ์ในการไม่ถูกแบ่งแยก (Right to Non-discrimination)
หากแต่ประเด็นเหล่านี้ในบริบทของสิ่งแวดล้อม มักถูกมองข้ามไป ทำให้คนยังขาดความตระหนัก ในมุมเหล่านี้ ศูนย์สิทธิมนุษยชนและความครอบคลุมทางสังคม จึงสามารถเป็นกำลังสำคัญในการ address ประเด็นเหล่านี้ให้เป็นที่รับรู้มากขึ้น รวมถึงสร้างความตระหนักและ sense of ownership ของปัญหา ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมสามารถนำไปสู่ปัญหาทางสังคม และทำให้ความไม่เท่าเทียมในสังคมที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นการลดทอนคุณค่าของสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังสร้างความยากลำบากในการพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ในแง่ของความครอบคลุมทางสังคม ศูนย์นี้ยังสามารถสร้างพื้นที่ในการมีส่วนร่วมและเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มคนชายขอบอีกด้วย
3. ศูนย์สานเสวนาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน (Dialogue Centre for Peace and Sustainable Development)
จากการที่พระอาจารย์นภันต์ได้รับนิมนต์ให้ไปแชร์หลักการและประสบการณ์การขับเคลื่อนงานเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการบูรณาการคุณค่าของพระพุทธศาสนาในงานระดับนานาชาติหลายๆงาน โดยเฉพาะในบริบทของสิ่งแวดล้อม เช่น งาน COP16, COP29, Interfaith G20 & PaRD Annual Meeting และ G20 & PaRD Annual Forum และ Planetary Health Annual Meeting Malaysia (PHAM) 2024 เป็นเครื่องยืนยันว่าหลักการของ Buddhism for SDGs ได้รับความสนใจและการยอมรับในระดับนานาชาติ และจากการที่ การสานเสวนานั้น นับเป็นใบเบิกทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน ศูนย์สานเสวนาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนจึงสามารถเป็นกำลังสำคัญในส่งเสริมให้หลักการของ Buddhism for SDGs ได้เป็นที่รับรู้และเข้าใจในวงกว้างมากขึ้นไปอีก และถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่อผลลัพธ์เชิงบวก ในบริบทของศาสนาอื่นๆ ตั้งแต่ในระดับบุคคล ไปจนถึงระดับนานาชาติ เพื่อประโยชน์ของสังคมโลก ผ่านการสอดแทรกในการสานเสวนาระหว่างศาสนา (Interreligious Dialogue) และการสานเสวนาในบริบทอื่นๆ
4. ศูนย์บ่มพระผู้ประกอบกรรมเพื่อสังคม (Socially Engaged Monks Incubators)
จากหลักการของ Buddhism for SDGs จะเห็นได้ว่า พระสงฆ์ โดยเฉพาะในสังคมพุทธ มีบทบาทมากมายนอกเหนือจากบทบาทในการเป็นผู้นำศาสนา ซึ่งบทบาทที่หลากหลายและความใกล้ชิดกับชุมชนของพระสงฆ์ นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการค่อยๆแปรเปลี่ยนองค์ความรู้และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระดับนานาชาติ หรือระดับชาติ เป็นการปฏิบัติจริงในระดับบุคคลและระดับชุมชน ศูนย์บ่มพระผู้ประกอบกรรมเพื่อสังคม สามารถเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงบทบาทในการเป็นสื่อกลางบูรณาการความเป็นต้นทุนทางสังคมของพระพุทธศาสนานี้ให้กับพระสงฆ์ และยังสามารถเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและสร้างการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน
นอกจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ทั้ง 5 ศูนย์ ยังมีความเกี่ยวข้องและสามารถส่งเสริมขับเคลื่อนงานด้านต่างๆได้ในบริบทของตน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสันติภาพ งานด้านการศึกษา และงานด้านอื่นๆอีกมากมายที่ IBHAP Foundation กำลังขับเคลื่อน…
ท่านเองก็เช่นกัน ^__^
จากสามเณรภาคฤดูร้อน… สู่การอุปสมบทพรรษาที่ 25 ของพระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท
ไม่สำคัญว่าใครต้องรู้ต้องเห็น
สำคัญที่ เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร…
พระอาจารย์กล่าวอยู่เสมอว่า…ที่เลือกทำงานด้านสังคมและการพัฒนา เป็นเพราะ “ต้องการตอบแทนสังคม”
และการที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ส่งไปอยู่ต่างจังหวัดตั้งแต่เป็นสามเณรนั้น ช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงและความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมของพระพุทธศาสนา จึงเป็นที่มาของการเก็บเกี่ยวหล่อหลอม ที่นำมาสู่การริเริ่มและขับเคลื่อนงาน พระพุทธศาสนาเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างเช่นทุกวันนี้
พระอาจารย์บวชเณรครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 7 ขวบ โดยความสมัครใจในการบวชเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา พระอาจารย์ก็ขอโยมแม่บวชทุกปี ติดต่อกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ 11 ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร โดยการฝากฝังของโยมพ่อ จนกระทั่งบวชพระในปี 2543 โดยหลวงพ่อเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เป็นผู้มอบฉายา “สนฺติภทฺโท” หรือ “ภิกษุผู้สันติ” ให้
พระอาจารย์บอกอยู่เสมอว่า เมื่อมองย้อนกลับไป เมื่อครั้งที่หลวงพ่อสมเด็จส่งไปเรียนที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ก็เข้าใจในเจตนาของหลวงพ่อมากขึ้น และรู้สึกขอบคุณมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะการได้ไปอยู่ในสังคมต่างจังหวัด ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิต การพึ่งพากันของวัดและชุมชน และการเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาในวิถีชีวิตของคนในหลายๆมิติ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนเลยก็ว่าได้…. และกลายมาเป็นส่วนสำคัญของความคิดริเริ่มในการนำความเป็นต้นทุนทางสังคมนี้ มาบูรณาการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม ในงาน พระพุทธศาสนาเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่พระอาจารย์กำลังขับเคลื่อนผ่าน IBHAP Foundation
นอกจากนี้ สิ่งที่พระอาจารย์ได้เห็นและซาบซึ้งมาตลอด คือการได้รับการดูแลเกื้อกูลจากสังคม เพราะพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยให้พระต้องพึ่งพาญาติโยมในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นนัยยะให้พระประพฤติปฏิบัติดีงามไปในตัว เพื่อให้สมกับการได้รับการดูแลจากญาติโยม… และความรู้สึกนี้เอง ทำให้พระอาจารย์เกิดความรู้สึกอยากตอบแทนสังคม โดยการใช้ความรู้ความสามารถที่ตนเองมี ในการสร้างประโยชน์… เป็นการตอบแทนในลักษณะ สังคมดูแลพระ ในขณะเดียวกัน พระก็ดูแลสังคม โดยการให้ธรรมะ เป็นที่พึ่งทางใจ และเป็นผู้นำการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกมาสู่สังคม
หลายคนเคยบอกว่า พระอาจารย์เลือกเดินทางยาก…
หลายคนเกิดคำถามในสิ่งที่พระอาจารย์กำลังทำ…
บางครั้งสิ่งที่พระอาจารย์ทำ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครเชิดชู…
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้พระอาจารย์เปลี่ยนใจ แต่ยังคงมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ โดยรู้ว่า ตนเองกำลังทำอะไร เพื่ออะไร… โดยที่ไม่ลืมว่าความตั้งใจแรกเริ่มเดิมทีนั้นคืออะไร