Similar Posts
“ผมเป็นคนรักร่วมเพศ และผมเป็นจิตแพทย์”
“ผมเป็นคนรักร่วมเพศ และผมเป็นจิตแพทย์”
ในปี 1972 ชายสวมหน้ากากประหลาดในชุดทักซิโด้ เดินเข้ามา และกล่าวขึ้นในการประชุมสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา และเขาได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์…
.
ชายคนนั้น แท้จริงแล้ว คือ นพ. John Ercel Fryer จิตแพทย์ชาวอเมริกัน โดยในการประชุมดังกล่าว เขาได้เข้ามาในที่ประชุมในชุดทักซิโด้ สวมวิก และสวมหน้ากาก (ดังภาพ) พร้อมได้รับการแนะนำว่าคือ Dr. Henry Anonymous สิ่งที่เขากล่าวในวันนั้น ผ่านร่างตัวละคร Dr. Henry ต่อหน้าเพื่อนร่วมวิชาชีพจำนวนมากในที่ประชุม ผ่านไมโครโฟนแปลงเสียง คือ…
.
“I am a homosexual. I am a psychiatrist”
(ผมเป็นคนรักร่วมเพศ และผมเป็นจิตแพทย์)
.
เพื่อต้องการสื่อนัยยะและยืนยันว่า การรักร่วมเพศนั้น ไม่ใช่ความเจ็บป่วยทางจิตใจ (เพราะจิตแพทย์ ก็เป็นคนรักร่วมเพศได้) และคำกล่าวนี้ นับได้ว่าสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ช่วยเปลี่ยนความเข้าใจ และมุมมองต่อการเป็นคนรักร่วมเพศ อีกทั้งยังเป็นกุญแจสู่ความเท่าเทียมของคนกลุ่มนี้ในสังคม
.
นับตั้งแต่ปี 1952 การเป็นคนรักร่วมเพศ (homosexuality) ถูกจัดไว้เป็นความผิดปกติทางจิตเวช (mental disorder) ชนิดหนึ่ง โดยมีการระบุไว้ใน Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders หรือ DSM ซึ่งเป็น guideline วินิจฉัยและรักษาโรคจิตเวชที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศอื่นๆในโลกด้วย โดยแนวทางการรักษาที่ระบุไว้ มีตั้งแต่ การใช้สารเคมีทำให้อัณฑะฝ่อ (Chemical castration), การทำให้ชักด้วยการช็อตไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy) รวมไปถึงการทำลายเนื้อสมองส่วนหน้าบางส่วน โดยใช้แท่งเหล็กสอดผ่านท่อน้ำตาเข้าไปสู่สมอง (Lobotomy)
.
การปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมที่มีมาโดยตลอด และการถูกจัดให้เป็นผู้มีความผิดปกติทางจิตเวช นำมาสู่การขับเคลื่อน เรียกร้องจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวรักร่วมเพศมาตั้งแต่ประมาณกลางช่วงปี 1960 และสร้างความกดดันให้กับสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา สำหรับตัว นพ. Fryer เอง ก็มีประสบการณ์การถูกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเช่นเดียวกัน เช่น ถูกขับไล่ออกจากที่พักและเคยสูญเสียงานที่ทำ เพียงเพราะเขาเป็น “เกย์”… นพ. Fryer ระบุในบทความในวารสาร Gay & Lesbian Psychotherapy ว่า เขาคิดว่าแง่มุมเหล่านี้ ควรได้รับการสื่อสารโดยจิตแพทย์ที่เป็นเกย์ ให้กับกลุ่มผู้ฟังที่พร้อมจะรับฟังจิตแพทย์… หากแต่เขาไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง… จึงเป็นที่มาของ Dr. Henry ในชุดทักซิโด้ สวมวิก สวมหน้ากาก ที่พูดผ่านไมโครโฟนแปลงเสียงในการเสวนา หัวข้อ “Psychiatry: Friend or Foe to Homosexuals?” (จิตเวชศาสตร์: มิตร หรือ ศัตรู ของคนรักร่วมเพศ?) ที่การประชุมสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา ในปี 1972 ซึ่งได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจากผู้ฟังแถวหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารโรงพยาบาล
.
จากนั้น ในปีถัดมา DSM ได้ยกเลิกการจัดการเป็นคนรักร่วมเพศเป็นความผิดปกติทางจิตเวช ซึ่งส่งผลให้เกิดการลดการแบ่งแยกทางเพศในบริบทอื่นๆในสังคมด้วย เช่น ในโบสถ์ โรงเรียน หรือกองทัพ นับเป็นการทวงคืนสิทธิมนุษยชนให้กับคนกลุ่มนี้
.
การเปลี่ยนแปลงโดย นพ. Fryer นี้ ได้ถูกบันทึกในประวัติศาตร์ของ Association of LGBTQ+ Psychiatrists และในปี 2005 สมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกายังได้จัดทำรางวัล “John Fryer Award” เพื่อเป็นเกียรติให้กับ นพ. Fryer โดยรางวัลนี้จะถูกมอบให้ผู้ที่ขับเคลื่อนและทำคุณประโยชน์เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตของกลุ่มคนรักร่วมเพศ
.
จากเรื่องราวของ นพ. Fryer ทำให้เราเรียนรู้ว่า…
อย่าให้ profession ความรู้ความชำนาญดั้งเดิม หรืองานที่เราทำ มากำหนดว่าเราทำสิ่งใดได้หรือไม่ได้ ดังเช่นกรณีนี้ที่ทำให้เราเห็นว่า แพทย์ ก็สามารถเป็นกระบอกเสียงและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่นำมาสู่ความเท่าเทียมในสังคม และเรียกคืนสิทธิมนุษยชนของคนบางกลุ่มได้
.
หวังว่าเรื่องนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคน
.
สำหรับผู้สนใจ สามารถอ่านเรื่องราวของ นพ. John Fryer เพิ่มเติมได้ที่
https://www.nbcnews.com/nbc-out/out-news/-homosexual-psychiatrist-dr-anonymous-changed-history-rcna26836
John Fryer
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.
บทบาทด้านสิ่งแวดล้อม(ที่มากกว่าที่คิด)ของ IBHAP Foundation
ว่าด้วยการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมของ IBHAP Foundation…
บางท่านอาจมีภาพจำว่า ขับเคลื่อนตาม SDGs อย่างเดียวเท่านั้น หรือมุ่งเน้นที่การแยกขยะ และลดการใช้พลาสติกเท่านั้น…
แต่แท้จริงแล้ว IBHAP Foundation ขับเคลื่อนงานทั้งเชิงปฏิบัติและเชิงนโยบาย อีกทั้งยังมีส่วนสนับสนุน Global goals อื่นๆอีกมากมายนอกเหนือจาก SDGs เป้าที่ 12, 13, 14, 15 อีกด้วย เช่น นโยบาย Nature-based Solution (NbS) ซึ่งเป็นการส่งเสริม Nationally-Determined Contributions (NDCs) ซึ่งเชื่อมกับ Paris Agreement อีกด้วย
บทบาทหลัก ของ IBHAP Foundation คือ
1. เราพยายามนำองค์ความรู้และนโยบายในระดับนานาชาติ หรือในระดับชาติ มาบูรณาการให้เกิดการปฏิบัติจริงในระดับชุมชน และสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในระดับบุคคล
ซึ่งหลายท่านคงทราบดี ว่าภายใต้งาน พระพุทธศาสนาเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Buddhism for SDGs ซึ่งริเริ่มโดยพระอาจารย์นภันต์ เราได้บูรณาการคุณค่าและความเป็นต้นทุนทางสังคมของพระพุทธศาสนาในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก โดยการนำ Sustainable Development Goals ซึ่งเป็นนโยบายและองค์ความรู้ในระดับนานาชาติและระดับชาติ มาสู่การปฏิบัติจริงในระดับบุคคลและระดับชุมชน โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ในฐานะที่เป็นที่พึ่งทางใจและเป็นแบบอย่าง อีกทั้งยังใกล้ชิดกับชุมชน เรียกว่า เราใช้ความเป็น Faith-based Organisation (FBO) ของเรา ในการขับเคลื่อนงาน
นอกจากนี้ เรายังนำแนวคิดและแนวปฏิบัติจากระดับท้องถิ่น ไปแชร์ในระดับนานาชาติ เป็นการกระจายองค์ความรู้และแนวปฏิบัติสองทาง ในฐานะ Bridge Organisation เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
บทบาทด้านนี้ เราเห็นได้จากการที่ เรามี ย่ามและผ้ารับประเคนลดโลกร้อนที่ผลิตจากเศษผ้าเหลือในอุตสาหกรรม ซึ่งเราทำร่วมกับ moreloop รวมทั้ง MOU “Wat Saket Zero Waste” การรณรงค์ลดการใช้ single-use plastic หรือการให้ความรู้และการลงมือปฏิบัติเรื่องการแยกขยะ
หรือการลงนาม MOU และการร่วมจัดกิจกรรมในโครงการ “ทำบุญวิถีใหม่ เวียนเทียนด้วยต้นไม้ลดฝุ่น” โดยมูลนิธิ ปลูกต้นไม้ ปลูกธรรมะ ก็นับเป็นภาพชัดของการทำตามนโยบายระดับนานาชาติ NbS ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ธรรมชาติในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
โดยในปัจจุบันมีการกระตุ้นให้นานาประเทศผนวกหลักการของ NbS เข้าสู่นโยบายการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมระดับชาติ ซึ่งหากประเทศเหล่านั้นลงนามในความตกลงปารีส (Paris Agreement) ด้วยแล้ว ก็จะต้องดำเนินการแบบเป็นรูปธรรมชัดเจน มีการติดตามวัดผล และรายงานทุกๆ 5 ปี ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า NDCs ซึ่งประเทศไทยก็เข้าข่ายที่ว่านี้เช่นเดียวกัน
ทั้ง NbS และ NDCs เป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงบ่อยมากในงาน COP29 ในปีที่ผ่านมาฮับ ถ้าลองดูจากงานวิจัย ก็จะเห็นสถิติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วช่วง 5 ปีหลัง ของประเทศที่เริ่มมีการนำ NbS มาใช้ รวมถึงผนวก NbS เข้ากับ NDCs
อีกทั้งหลักการเหล่านี้ยังสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่พูดถึงกันในงาน COP29 อีกเช่นกัน คือ นอกจากนโยบายแบบเดิมที่เราเน้นไปที่การป้องกัน และเยียวยาผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว เราควรมุ่งเน้นการ “ปรับตัว” เข้ากับผลลัพธ์ทางสิ่งแวดล้อมที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วด้วย
2. นอกจากการปฏิบัติในระดับบุคคลและระดับชุมชน เรายังขับเคลื่อนงานด้านนโยบาย โดยสนับสนุนและเป็นกระบอกเสียงให้มีการนำองค์ความรู้และนโยบายระดับนานาชาติ เข้าสู่นโยบายระดับชาติ
เราใช้จุดแข็งของการมี partnership เป็นองค์กรต่างประเทศที่ขับเคลื่อนงานด้านนี้ ในการร่วมผลักดันให้องค์ความรู้และนโยบายระดับนานาชาติที่เป็นประโยชน์ ถูกนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังโดยเริ่มจากการสนับสนุนให้สิ่งเหล่านั้นอยู่ในนโยบายระดับชาติ ที่จะผลักดันไปสู่การปฏิบัติในระดับชุมชน
เห็นได้ชัดจากงานล่าสุดที่ทางมูลนิธิได้พาคุณ Mitra, Senior Programme Manager ของ KAICIID Dialogue Centre ไปทำความรู้จักและสนทนากับผู้ทรงคุณวุฒิของไทยทั้งในด้านการศึกษา และผู้ที่เป็น policymaker รวมทั้งการเสนอชื่อบุคลากรด้านต่างๆในการเข้าร่วมงาน Dialoge Cities Southeast Asia Conference ที่เมือง Davao ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปีที่แล้ว และการพา policymaker จากไทย ไปร่วมงาน PaRD Leader Meeting ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเดือนกุมพาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อขยายขอบเขตงาน หรือการที่พระอาจารย์รับเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ 30×30 Thailand Coalition เครือข่ายอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพประเทศไทย และการเข้าร่วมงานระดับนานาชาติอีกมากมาย เช่น งาน COP16, COP29 หรืองาน Interfaith G20 & PaRD Annual Forum ที่จัดภายใต้ theme “Leaving No One Behind: The Well-being of the Planet and Its People” และงาน Planetary Health Annual Meeting Malaysia (PHAM) 2024
3. เราสนับสนุนการมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่ม และพร้อมพัฒนาศักยภาพกลุ่มคนเหล่านั้น
หนึ่งในนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจากงาน COP29 คือการสร้างการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย (meaningful participation) ของกลุ่มคนชายขอบ ซึ่งหมายรวมถึง กลุ่มชาติพันธุ์ (ซึ่งจริงจังมากจนถึงขนาดมีการออก Baku Workplan ในการผลักดันเรื่องนี้) ผู้นำศาสนา ผู้หญิง เยาวชน และชุมชนท้องถิ่น ซึ่งถ้าหากคนเหล่านี้ไม่สามารถมีส่วนร่วมด้วยเนื่องจากขาดประสบการณ์หรือความรู้ ก็ต้องจัดการให้มีการเสริมสร้างศักยภาพและองค์ความรู้ที่เพียงพอที่จะเข้ามามีบทบาทได้
ในส่วนนี้ สอดคล้องกับสิ่งที่ IBHAP Foundation พยายามทำมาตลอดทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการเสริมศักยภาพและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ ผู้หญิง เยาวชน และคนในชุมชน เช่น โครงการอบรมเขิงปฏิบัติการนำร่อง “บทบาทพระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำและนำแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ” เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับพระสงฆ์และคนในชุมชน
ซึ่งเป็นการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ และส่งเสริมการมีบทบาทในฐานะสมาชิกของสังคม อีกทั้งยังเป็นการคงคุณค่าของสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
มาถึงตรงนี้ ทุกท่านคงเห็นภาพชัดมากขึ้น เกี่ยวกับบทบาทและสิ่งที่ IBHAP Foundation กำลังขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม
สิ่งสำคัญคือ การจะทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับบุคคล ไปจนถึงระดับนโยบาย รวมทั้งความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการมีส่วนร่วมจากทุกกลุ่ม
5 ศูนย์ของ IBHAP กับบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม
ทุกท่าน เคยเลือกที่จะไม่ทำบางอย่าง เพราะคิดว่าเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันไหม
และเคยตั้งคำถามไหมว่า แท้จริงแล้ว เราไม่มีบทบาทในเรื่องนั้นจริงๆ หรือเพียงเพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องนั้นดีพอ จึงมองไม่เห็นความเกี่ยวข้องในบริบทของเรา?
เช่นเดียวกัน ถ้ามองอย่างผิวเผิน ก็คงไม่แปลกที่อาจจะดูเหมือนว่ามีเพียงศูนย์เดียว จากทั้งหมด 5 ศูนย์ของ IBHAP Foundation ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม คือ ศูนย์สุขภาพจิตและสุขภาวะโลก (Mental and Planetary Health Centre) ซึ่งตั้งมาเพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยตรง โดยมุ่งเน้นไปที่บริบทของ Planetary Health ซึ่งหมายรวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีของโลกและคนบนโลก ทั้งสุขภาวะกายและสุขภาวะจิต
แต่ถ้าพิจารณาเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ลึกลงไปแล้ว จะพบว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวพันในมิติอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งต้องการการจัดการที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน
ดังนั้น ศูนย์อื่นๆอีก 4 ศูนย์ ที่แม้ว่าชื่อศูนย์อาจไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม แต่แต่ละศูนย์ล้วนเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความตระหนักและผลักดันด้านสิ่งแวดล้อม ในบริบทต่างๆกัน ดังนี้…
1. ศูนย์ความร่วมมือเยาวชนส่งเสริม (Youth-Empowered Partnership Centre)
เนื่องจากเยาวชน เป็นกลุ่มประชากรที่มีแนวโน้มจะต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในอนาคต ที่มีแนวโน้มแย่ลงเรื่อยๆ การผลักดัน เสริมศักยภาพ และให้พื้นที่ในการมีส่วนร่วมของเยาวชน เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดการรับประกันว่า การขับเคลื่อนงานเพื่อจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจะคงอยู่และดำเนินต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคม รวมถึงการเคารพสิทธิ์ในการมีบทบาทในฐานะสมาชิกของสังคมอีกด้วย ในส่วนนี้ YEP Centre สามารถเป็นกำลังสำคัญในการให้พื้นที่การมีส่วนร่วมของเยาวชน รวมทั้งพัฒนาศักยภาพให้เยาวชนที่อาจจะยังไม่มีความรู้และประสบการณ์เพียงพอที่จะมีส่วนร่วมได้นั้น มีศักยภาพเพียงพอ และสร้างความตระหนักให้กับเยาวชนถึงสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมของตนเอง
2. ศูนย์สิทธิมนุษยชนและความครอบคลุมทางสังคม (Human Rights and Social Inclusion Centre)
ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวเนื่องไปถึงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ที่นอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรงแล้ว เช่น สิทธิ์ในการมีชีวิต (Right to Life) ยังทำให้คุณค่าของสิทธิมนุษยชนถูกลดทอน อีกทั้งยังทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่เดิมในสังคมทวีความรุนแรงขึ้น
เช่น หากเรามีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น และภาวะโลกร้อนนี้ ไปเอื้อให้เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อซึ่งทำอันตรายให้กับคนบางกลุ่มได้มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆไม่ว่าจะด้วยความต่างด้านร่างกายหรือสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม นั่นหมายความว่า เรามีส่วนในการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างน้อย 2 สิทธิ์ ได้แก่ สิทธิ์ในการมีชีวิต (Right to Life) และสิทธิ์ในการไม่ถูกแบ่งแยก (Right to Non-discrimination)
หากแต่ประเด็นเหล่านี้ในบริบทของสิ่งแวดล้อม มักถูกมองข้ามไป ทำให้คนยังขาดความตระหนัก ในมุมเหล่านี้ ศูนย์สิทธิมนุษยชนและความครอบคลุมทางสังคม จึงสามารถเป็นกำลังสำคัญในการ address ประเด็นเหล่านี้ให้เป็นที่รับรู้มากขึ้น รวมถึงสร้างความตระหนักและ sense of ownership ของปัญหา ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมสามารถนำไปสู่ปัญหาทางสังคม และทำให้ความไม่เท่าเทียมในสังคมที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นการลดทอนคุณค่าของสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังสร้างความยากลำบากในการพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ในแง่ของความครอบคลุมทางสังคม ศูนย์นี้ยังสามารถสร้างพื้นที่ในการมีส่วนร่วมและเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มคนชายขอบอีกด้วย
3. ศูนย์สานเสวนาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน (Dialogue Centre for Peace and Sustainable Development)
จากการที่พระอาจารย์นภันต์ได้รับนิมนต์ให้ไปแชร์หลักการและประสบการณ์การขับเคลื่อนงานเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการบูรณาการคุณค่าของพระพุทธศาสนาในงานระดับนานาชาติหลายๆงาน โดยเฉพาะในบริบทของสิ่งแวดล้อม เช่น งาน COP16, COP29, Interfaith G20 & PaRD Annual Meeting และ G20 & PaRD Annual Forum และ Planetary Health Annual Meeting Malaysia (PHAM) 2024 เป็นเครื่องยืนยันว่าหลักการของ Buddhism for SDGs ได้รับความสนใจและการยอมรับในระดับนานาชาติ และจากการที่ การสานเสวนานั้น นับเป็นใบเบิกทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน ศูนย์สานเสวนาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนจึงสามารถเป็นกำลังสำคัญในส่งเสริมให้หลักการของ Buddhism for SDGs ได้เป็นที่รับรู้และเข้าใจในวงกว้างมากขึ้นไปอีก และถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่อผลลัพธ์เชิงบวก ในบริบทของศาสนาอื่นๆ ตั้งแต่ในระดับบุคคล ไปจนถึงระดับนานาชาติ เพื่อประโยชน์ของสังคมโลก ผ่านการสอดแทรกในการสานเสวนาระหว่างศาสนา (Interreligious Dialogue) และการสานเสวนาในบริบทอื่นๆ
4. ศูนย์บ่มพระผู้ประกอบกรรมเพื่อสังคม (Socially Engaged Monks Incubators)
จากหลักการของ Buddhism for SDGs จะเห็นได้ว่า พระสงฆ์ โดยเฉพาะในสังคมพุทธ มีบทบาทมากมายนอกเหนือจากบทบาทในการเป็นผู้นำศาสนา ซึ่งบทบาทที่หลากหลายและความใกล้ชิดกับชุมชนของพระสงฆ์ นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการค่อยๆแปรเปลี่ยนองค์ความรู้และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระดับนานาชาติ หรือระดับชาติ เป็นการปฏิบัติจริงในระดับบุคคลและระดับชุมชน ศูนย์บ่มพระผู้ประกอบกรรมเพื่อสังคม สามารถเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงบทบาทในการเป็นสื่อกลางบูรณาการความเป็นต้นทุนทางสังคมของพระพุทธศาสนานี้ให้กับพระสงฆ์ และยังสามารถเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและสร้างการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน
นอกจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ทั้ง 5 ศูนย์ ยังมีความเกี่ยวข้องและสามารถส่งเสริมขับเคลื่อนงานด้านต่างๆได้ในบริบทของตน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสันติภาพ งานด้านการศึกษา และงานด้านอื่นๆอีกมากมายที่ IBHAP Foundation กำลังขับเคลื่อน…
ท่านเองก็เช่นกัน ^__^
Candle-Light Triple Circumambulation Enhancing Nature-based Solution
Replacing candles with trees in the Buddhist Ceremony, Candle-Light Triple Circumambulation, is one of our environmental efforts to enhance the translation of the global policy, Nature-based Solution (NbS) into local actions, by leveraging the value of Buddhism as social capital in raising awareness, inducing behavioral change and mobilising collective action. This initiative was originally created by the Tree for Dhamma Foundation. It is part of their MOU with other 17 organisations.
COP16 Key Takeaways from Venerable Napan
Venerable Napan Thawornbanjob, as Chair of IBHAP Foundation and Honorable Advisor of 30 x 30 Thailand Coalition participated as a panelist in COP16’s side event “Integral Ecology to Reverse Biodiversity Loss”, by the support of EcoCitiZen, in Cali, Colombia.
Venerable Napan stated that it was the opportunity to learn from and exchange ideas with people from all over the world who share a mutual dedication and good intentions to make this world a better place to live, not only for our generation, but also the future ones.
Additionally, it was an honor, as a Buddhist monk, to have the opportunity to convey the issues of natural resource consumption and biodiversity by integrating Buddhist teachings and the concept of mindfulness, and share with the researchers, scholars, and environmental practitioners from various countries, called “Integral Ecology Research Network (IERN)”, which was officially launched at the event.
The key points he shared were:
1. While we are consuming natural resources for our survival, we must remain mindful and not forget that we must pass on this right to future generations for their survival as well.
2. In Buddhism, the concept of “karma” means that what we think, say, or do will affect us. The same goes for how we treat the world. As the Buddhist proverb says, “Kammuna vattati loko,” meaning “the world is driven by karma”. Through the lens of “Planetary Health,” the term “world” here can include both the planet itself and the living beings on it.
3. Three key points regarding addressing biodiversity loss, including
– Communication
– Strategic collaboration
– Meaningful engagement
We need to be patient in repeating these messages until awareness is raised, followed by serious action that leads to change. We must also collaborate to amplify the voices of those who are voiceless. Furthermore, we must use strategic communication to keep these issues in the public consciousness, so they are not forgotten, and the problems are not left unresolved as they often are.
He emphasised at the end of his talk that
“No more engagement, Let’s get married. As a Buddhist monk , I cannot get married but you know what I mean… Let’s connect to each other not just contact. The time for “loose engagement” through meetings and discussions is over. We need to collaborate seriously and act to achieve tangible results.”
Thanks to EcoCitizen for supporting his participation in the event, including the travel and accommodation arrangements, CELAM (Latin American and Caribbean Episcopal Council) for their warm hospitality and providing the Monsignor Jesús Antonio Castro Becerra Meeting and Training House for his stay in Cali, Colombia.
Special thanks to Salvatore Coppola-Finegan and everyone at EcoCitizen for everything and Ms. Siriporn SRIARAM for coordinating the invitation to participate in this event, as well as Father Peter Rožič and Jafeth Rodriguez for the friendships.
And thank you to EcoCitizen, Ms. Siriporn, Father Peter and Jafeth for the photos.